วันมหาวิปโยคของชาวซิกข์นามธารี
17 มกราคม ค.ศ. 1872
   
         
พุทธวจนะที่แสดงไว้ว่า "การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์" เป็นสัจจะธรรมที่ชาวนามธารีตระหนักดี เมื่อทหารอังกฤษได้นำพระศาสดาองค์ที่ 12 ของชาวซิกข์นามธารี ศิริสัตคุรุ ราม ซิงห์ ยี ออกจากประเทศอินเดีย
ท่ามกลางความเศร้าสลดแทบขาดใจ สุดที่จะบรรยาย เพื่อไปควบคุมตัวไว้ที่ประเทศพม่า (นำท่านออกจากเมืองแภณีซาฮิบ
ในคืนวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1872 และออกจากเมืองลูดีอานาในวันถัดมา )

  วันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1872 นับได้ว่าเป็นวันมหาวิปโยคที่ประวัติศาสตร์แห่งการกอบกู้เอกราชของประเทศอินเดียได้จารึกเอาไว้แล้วว่า
ท่านฮีราซิงห์ และท่านแลณาซิงห์ได้เป็นผู้นำวีรชนชาวซิกข์นามธารีกว่า 125 คน ทำการประท้วงต่อต้านการกดขี่ข่มเหงของทหารต่างชาติที่มีต่อประชาชนชาว อินเดีย ตลอดจนการทารุณต่อสัตว์โดยการเปิดโรงฆ่าสัตว์และโคขึ้นในเขตปูชนียสถานซึ่งเป็นการขัดต่อจิตสำนึกตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของชาว
อินเดียอย่างรุนแรงซึ่งยากที่ชาวตะวันตกจะเข้าใจ โดยการที่วีรชนทั้งสองยอมเอาชีวิตของตนเองเข้าแลกด้วยความสมัครใจ และพร้อมเพรียงกัน เป็นเหตุการณ์ ซึ่งประวัติศาสตร์ของอินเดียได้จารึกไว้แล้วว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการกอบกู้เอกราชจากการ ปกครองของอังกฤษ โดยใช้วิธีอหิงสา ซึ่งในที่สุดวิธีนี้ได้ขยายตัวจาก เมืองเล็ก ๆ ในรัฐปัญจาบ ออกไปทั้งอินเดียเรื่อยมานับตั้งแต่วันนั้นจนถึงสมัยของท่านมหาตมะคานธีเป็นผู้นำประเทศจนได้รับความสำเร็จในที่สุด
  ในรายละเอียดของประวัติศาสตร์การกอบกู้เอกราชของอินเดีย และประวัติศาสตร์ของชาวซิกข์นามธารีได้จารึกเอาไว้ว่า ที่เมือง มาเลร์โกตเล่ เพียงวัน
แรกวันเดียวมีชาวซิกข์นามธารียอมสละชีวิตตัวเองโดยการแขวนคอ และยืนให้ปืนใหญ่ยิงเสียชีวิตถึง 49 คน ภายใต้คำสั่งของผู้บัญชาการทหาร การ์วัน แห่ง รัฐบาลอังกฤษโดยมิได้ผ่านขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมแต่อย่างใด
  ต่อมาวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1872 ในสถานที่เดียวกันนี้ ชาวซิกข์นามธารีได้เสียชีวิตเพิ่มอีก 16 คน โดยท่าน วารียามซิงห์ เป็นวีรชนอีกผู้หนึ่ง
ที่ได้สร้างวีรกรรมอันน่าประทับใจ ซึ่งยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน ด้วยเหตุที่ท่านเป็นผู้มีรูปร่างเล็ก แต่ด้วยศรัทธาที่มีต่อองค์พระศาสดา ศิริ สัตคุรุ ราม ซิงห์ ท่านได้นำกรวดและเศษหินมากองรวมกันจนได้ระดับวิถีกระสุนปืนใหญ่ แล้วท่านจึงขึ้นไปยืนเพื่อให้ปืนใหญ่ของทหารอังกฤษยิง
  วีรชนอีกผู้หนึ่งซึ่งไม่อาจละเว้นได้เป็นอันขาด คือ ด.ช. บิชันซิงห์ ซึ่งมีอายุเพียง 12 ปี ผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ และทนฟังคำพูดถากถางชาวอินเดีย
และพระศาสดา ซึ่งกล่าวโดย ผ.บ. การ์วัน ไม่ได้ จึงกระโจนขึ้นไปกระชากเคราของ ผ.บ. ทหารอังกฤษผู้นั้นเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จนในที่สุดต้องใช้มีดดาบ ตัดแขนจนขาด และเสียชีวิตในเวลานั้นเอง หลังจากนั้นเหล่าทหารจึงช่วยกันแกะมือซึ่งไร้เจ้าของแต่ยังมีวิญญาณแห่งความโกรธแค้นออกได้
  ในท่ามกลางเมฆหมอกแห่งวันมหาวิปโยคอันคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแห่งการเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อต่อต้านการกดขี่ข่มเหง โดยอาศัย
หลัก "ธรรมย่อมชนะอธรรม" เหตุการณ์อันน่าสลดได้เกิดขึ้นอีก เมื่อทหารอังกฤษซึ่งตระหนักถึงภัยอันใหญ่หลวงที่จะต้องเกิดขึ้น ตราบใดที่ศูนย์รวมแห่งจิตใจ ชีวิต และวิญญาณของชาวซิกข์นามธารี คือ องค์พระศาสดา ศิริ สัตคุรุ ราม ซิงห์ ยี ยังอยู่ในประเทศอินเดีย จึงใช้อำนาจกฎอัยการศึกควบคุมพระองค์ไปจากสานุศิษย์ ออกจากเมือง แภณิซาฮิบ เมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1872 เพื่อไปควบคุมพระองค์ไว้ที่ ย่างกุ้ง ประเทศพม่า ซึ่งเป็นอาณานิคมของตนในขณะนั้น ท่ามกลางความอาลัยอาดูลย์อย่างสุดที่จะพรรณา
  ประมาณ 2 ปีต่อมา สานุศิษย์ผู้หนึ่ง ชื่อ ดาร์บาราซิงห์ ได้สืบทราบตำแหน่งที่อยู่ของพระศาสดาจากภรรยาของ ผ.บ. การ์วัน จึงยอมเสี่ยงชีวิต
ปลอมตัวเดินทางข้ามทะเลไปพบกับพระศาสดา และได้นำสาสน์ซึ่งเป็นลายพระหัตถ์ของพระองค์ ซึ่งมีข้อสาระสำคัญเป็นคำสอนหลายประการ และที่สำคัญที่ สุดอีกประการหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงมอบอำนาจให้กับพระอนุชาของพระองค์คือ พุทธซิงห์ และได้ทรงพระราชทานนามให้ใหม่ว่า "ศิริ สัตคุรุ หริ ซิงห์ ยี" เป็นผู้ดูแลสานุศิษย์ของพระองค์ให้ยึดมั่นในศีลธรรม และสวดมนต์รำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า ในระหว่างเวลารอการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระองค์ เมื่อถึงวันนั้น โลกจะต้องสงบและบริสุทธิ์กว่าที่เป็นอยู่
  องค์พระศาสดา ศิริ สัตคุรุ ราม ซิงห์ ได้ทรงกล่าวยืนยันถึงการกลับมาของพระองค์ไว้ว่า "จงเชื่อเถิดเมื่อมีผู้กล่าวว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
และตกทางทิศตะวันออก แต่จงอย่าเชื่อเป็นอันขาดถ้ามีผู้กล่าวว่ารามซิงห์ผู้นี้จะไม่กลับมาอีกในร่างนี้"
  ดังนั้นในขณะที่ทุกศาสนาในโลกต่างสวดมนต์ภาวนาเพื่อจะได้พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือ พระผู้สร้าง ชาวซิกข์นามธารีต่างตั้งตารอคอยการเสด็จ
กลับมาขององค์พระศาสดา ศิริ สัตคุรุ ราม ซิงห์ ยี ตราบจนทุกวันนี้