เวลาทำดีทำไมจึงไม่ค่อยเห็นผล หรือ เห็นผลช้า
 
       
    ในการทำดีนั้นบางครั้งเราไม่สามารถเห็นผลได้ทันที แต่เราสามารถรู้สึกถึงความสุข หรือ ความรู้สึกดี ๆ หลังจากทำความดีนั้น ซึ่งเรียกว่าความสุขทาง  
 

ใจ เปรียบเสมือนกับเวลาที่เราเปิดพัดลมแล้วลมพัดผ่านมาทางเรา เราสามารถรู้สึกถึงความเย็น แต่ไม่สามารถมองเห็นลมนั้นได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เมื่อ มีการเกิดต้องมีการแก่ เจ็บ และตายในที่สุด คือเมื่อมีการเริ่มต้นต้องมีการจบ การเริ่มต้นนั่นคือเหตุ และการจบนั่นคือผล แต่ในระหว่างการเริ่มและจบนั้น ระหว่างกลางคือ ระยะเวลา ซึ่งเวลานั้น จะเป็นตัวที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ในการทำสิ่งที่ดีนั้น เราต่างรู้กันว่าเราจะได้สิ่งที่ดีกลับ คืนมา แต่ว่าจะได้คืนมาเมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับเวลา เพราะเวลาเท่านั้นที่จะหาจังหวะที่เหมาะสมสำหรับผลลัพธ์ที่ดีพอของการที่เราทำความดีนั้น

 
แต่ทุกครั้งที่ทำความดี ยืนยันได้ว่าทุกคนต่างต้องมีความรู้สึกดีจากภายใน แต่ขอเตือนทุกครั้งว่าการทำความดีนั้นเราต้องไม่หวังสิ่งตอบแทน ซึ่งจะขอ
ยกตัวอย่างดังนี้ ถ้าหากว่าคุณพบคนที่มาขอให้คุณช่วยซื้อข้าวให้ เนื่องจากเขาไม่มีเงิน และคุณก็ได้ซื้อข้าวให้เขา ในการทำความดีครั้งนี้คุณมีความคิดว่า ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร หรือ คุณคิดว่าสักวันหนึ่งคน ๆ นั้นจะซื้อข้าวมาคืนให้คุณ ซึ่งนั่นก็อาจเป็นไปได้ แต่บางครั้งก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น อาจเป็นไปได้ ว่าวันหนึ่ง คุณอาจตกอยู่ในเหตุการณ์ที่มีแต่อันตรายรอบตัว เช่น อาจโดนปล้น คนที่คุณเคยช่วยซื้อข้าวให้กินเห็นเข้าเลยยอมเสี่ยงชีวิตเขาไปช่วยคุณ ทำให้คุณรอดพ้นจากอันตราย นี่คือผลของการทำความดี ซึ่งผลลัพธ์ของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้หลายครั้งที่ผู้กระทำความดีมักหลง ประเด็น เนื่องจากไม่ทราบว่าผลบุญ หรือ ผลแห่งความดีที่ได้รับเป็นผลมา จากการที่เคยกระทำความดีไว้ในเรื่องใดหรือเมื่อใด จึงเป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัย ขึ้นว่า ทำไมคนเราเวลาทำดีจึงไม่เห็นผล หรือ ถ้าเห็นผลก็ช้า ความจริงแล้วทุกสิ่งที่เกิดนั้น ขึ้นอยู่กับเวลา ดังที่ได้กล่าวไว้ตอนต้น
 
การทำทานควรคำนึงถึงฐานะ ความพร้อม และความเหมาะสม
   
ไม่ควรทำทาน โดยหวังผลตอบแทน